 |
ต่อจากนั้นเราก็ไปแวะที่ Unfinished Obelisk ลงจากรถแล้วเห็นทางที่ปีนขึ้นไปดูนี่แบบว่า หนูขอไม่ดูได้มั้ย เพราะที่อัสวานนี่ร้อนมากกก ไกด์บอกว่าตอนนี้ยังเย็นจ้า มาหน้าร้อน 50C เหนาะๆ เท่านั้นเอง ซี้ดสสส์ แต่ในที่สุดคุณไกด์ก็พาขึ้นไปอยู่ดี อย่างน้อยก็ยังพาไปหลบหลังหินก้อนใหญ่พอมีร่มเงาแล้วค่อยอธิบาย ไกด์เนิร์ดของเราว่าหินแกรนิตส่วนใหญ่ที่สร้างวิหารในยุคโบราณ ขนไปจากอัสวานทั้งนั้น ซึ่งมีอยู่สองชนิดคือ แกรนิตแบบธรรมดาที่หนักมาก และแกรนิตจากภูเขาไฟ (volcanic granite) ที่เบาและทนทานน้อยกว่า แกรนิตอย่างดีนี้มีราคาแพงและทนความร้อนได้สูงมาก
Obelisk อันนี้ทำไม่เสร็จเพราะพบรอยแตกในหินเสียก่อน ถ้าทำสำเร็จคาดว่าจะสูงถึง 42 เมตรและหนักถึง 1,200 ตันด้วยกัน
จากนั้นไกด์ก็เล่าถึงกระบวนการทำว่าเริ่มจากการสกัดหินเป็นโครงคร่าวๆ แล้วเจาะรูที่ขอบห้ารู แต่ละรูห่างราวหนึ่งเมตร เมื่อได้รูที่ใหญ่พอควรแล้วจึงอัดไม้ซีดาร์ลงไป หลังจากนั้นจึงรดน้ำทุกวันเพื่อให้ไม้ซีดาร์ขยายตัว ทำให้หินแยกออกจากกัน จากนั้นช่างจึงจะใช้ลิ่มสกัดทีละนิด ลงไปเรื่อยๆ จนได้ด้านครบสามด้าน ระหว่างที่สกัดไปจะต้องเททรายไปแทนที่เพื่อให้หินทรงตัวอยู่ได้เนื่องจากกระบวนการยากและช้ามาก อันหนึ่งๆ นี่ใช้แรงงานราว 1,700 คนและใช้เวลาราว 70 ปี โอ้วแม่เจ้า
เห็นเสาใหญ่และหนักขนาดนี้ เรือที่ใช้ขนก็ต้องใหญ่และรับน้ำหนักได้ น่าทึ่งว่าวิทยาการสมัยนั้นจะสร้างเรือได้เจ๋งขนาดนี้ เนื่องจากเสาหนักมากเลยต้องรอแม่น้ำไนล์ท่วมหลากเพื่อที่ท้องเรือจะได้ไม่ครูดท้องน้ำ นอกจากนี้ยังต้องทำทางลำเลียงหินลงโดยต่อทางออกมาจากแม่น้ำไนล์ เพื่อเมื่อน้ำหลาก เรือจะได้เข้ามารอรับ ให้ขนเสาหินลงเรือได้พอดีๆ
จากคุณ |
:
Mnemosyne
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ธ.ค. 53 01:40:12
|
|
|
|
 |