Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
(เกาะติดประมูล3G) ประเด็นขอสงสัยตางๆ เรื่องการประมูลคลื่นความถี่ย่าน2.1 GHz (3G) vote ติดต่อทีมงาน

ประเด็นหลัก


8. ราคาตั้งต้นการประมูลคืออะไร ต่างจากมูลค่าคลื่นความถี่อย่างไรมูลค่าคลื่นความถี่เป็นการประเมินมูลค่าในทางเศรษฐศาสตร์ที่มี ความจำเป็นเพื่อที่จะนำไปสู่การกำหนดราคาตั้งต้นที่เหมาะสมในการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยราคาตั้งต้นการประมูลจะถูกกำหนดเป็นสัดส่วนร้อยละของมูลค่าคลื่นความถี่ (โดยปกติในหลายประเทศ ราคาตั้งต้นการประมูลจะคิดเป็นร้อยละ 50 ของมูลค่าคลื่นความถี่) ทั้งนี้ เมื่อได้ทราบมูลค่าคลื่นความถี่แล้ว กทค. ก็จะสามารถกำหนดราคาตั้งต้นการประมูลได้ส่วนเงินที่ได้จากการประมูล (เมื่อการประมูลจริงสิ้นสุดลง)จะสูงหรือต่ำนั้นขึ้นอยู่กับสภาพการแข่งขันและความต้องการใช้คลื่นความถี่ในตลาด ในขณะนั้น ซึ่งหากตลาดมีการแข่งขันมากและความต้องการใช้คลื่นความถี่ มีสูง เงินที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่ก็จะสูงตามไปด้วยแต่ในทางกลับกัน หากตลาดมีการแข่งขันน้อยและความต้องการใช้คลื่นความถี่ไม่สูงมาก เงินที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่ก็อาจจะเท่ากับราคาตั้งต้นหรือสูงกว่าไม่มาก

9. เหตุใดจึงกำหนดราคาตั้งต้นการประมูลเพียง 4,500 ล้านบาทต่อ 5 MHz ทั้งๆ ที่คณะที่ปรึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กำหนดมูลค่าคลื่นความถี่ย่านนี้ถึง 6,440 ล้านบาทต่อ 5 MHz

ข้อมูลในเรื่องนี้มีผู้นำไปสื่อในลักษณะที่คลาดเคลื่อน เพราะจากการศึกษาของคณะผู้วิจัยที่ปรึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลค่าคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ที่มีการประเมินออกมาสำหรับประเทศไทยควร จะเท่ากับ 6,440 ล้านบาทต่อ 5 MHz ส่วนราคาเริ่มต้นหรือราคาตั้งต้นสำหรับการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ที่ทางคณะผู้วิจัยฯ ศึกษามานั้น ระบุว่าไม่ควรต่ำกว่าร้อยละ 67 ของมูลค่าคลื่นความถี่ (6,440 ล้านบาท) หรือเท่ากับ 4,314.80 ล้านบาท โดยที่คณะที่ปรึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ไม่เคยระบุให้ใช้มูลค่าคลื่น 6,440 ล้านบาท เป็นราคาตั้งต้นการประมูลเลย ต่อมา กสทช. ได้นำผลการศึกษาดังกล่าวมาเป็นฐานในการกำหนดราคาตั้งต้นการประมูล โดยมีการกำหนดราคาตั้งต้นที่ 4,500 ล้านบาทต่อ 5 MHz เพราะเป็นระดับราคาที่เกิดความสมดุลคือ ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของ รัฐ ประชาชน และผู้ประกอบการ ประกอบกัน หากกำหนดราคาตั้งต้นการประมูลที่สูงเกินไปจะทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้และจะกลายเป็นว่า กสทช. กำหนดราคาตั้งต้นการประมูลสูงเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายใหญ่ อันเป็นการขัดต่ออำนาจหน้าที่ของ กสทช. ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายนอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับราคาตั้งต้นการประมูลที่ กทช. เคยกำหนดไว้เมื่อปี 2553 ที่ 4,300 ล้านบาทต่อ 5 MHz รวมทั้งเปรียบเทียบกับราคาตั้งต้นการประมูลในประเทศต่างๆ ซึ่งจัดประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ที่ผ่านมาพบว่ามีราคาต่ำกว่าราคาตั้งต้นที่ กสทช. กำหนดในครั้งนี้มาก ราคาตั้งต้นการประมูลดังกล่าวจึงถือว่ามีความเหมาะสมแล้ว

10. ผลการประมูลคลื่นความถี่จบลงที่เงินที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่สูงกว่าราคาตั้งต้นเพียงเล็กน้อยเป็นความล้มเหลวของการจัดประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้หรือไม่ ทำให้ประเทศชาติสูญเสียรายได้ถึงกว่า 17,000 ล้านบาท จริงหรือไม่

ที่ว่ากันว่าคลื่นความถี่ 2.1 GHz ควรมีมูลค่าที่เหมาะสมที่ 6,440 ล้านบาท นั้น ถ้าเป็นเมื่อ 8-10 ปีก่อนอาจใช่ แต่ขณะนี้มันไม่ใช่แล้ว คลื่นความถี่ 2.1 GHz จะสามารถนำไปแสวงหาประโยชน์ได้แค่ 3-4 ปีจากนี้ย่อมไม่คุ้มที่จะทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเป็นพันล้านไปช่วงชิงมายิ่งโอกาสในการแสวงหากำไรจากการประกอบการไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเดิมนั้นเก็บค่าบริการเสียงได้ถึงนาทีละ 9 บาท แต่วันนี้คิดค่าบริการได้เพียง 0.99 บาทเท่านั้น ดังนั้น ราคาคลื่นความถี่ 2.1 GHz เพื่อเทคโนโลยี 3G ณวันนี้ราคาลดเหลือแค่ 30%เท่านั้น เราไม่ควรมองแต่เรื่องของรายได้จากการประมูลคลื่นความถี่ แต่ควรมองในเรื่องการขยายโครงข่ายเป็นหลักไม่จำเป็นต้องเรียกเก็บสูงเพื่อให้เอกชนมีเงินไปลงทุนขยายโครงข่ายให้มากที่สุดได้เป็นแสนล้านยิ่งดี ทั้งนี้ ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศด้านการประมูลคลื่นความถี่ว่าการที่การประมูลคลื่นความถี่ จบลงที่ราคาประมูลคลื่นความถี่สูงกว่าราคาตั้งต้นไม่มากนั้นไม่ถือเป็นเรื่อง ผิดปกติแต่อย่างใด และกรณีดังกล่าวก็เกิดขึ้นในหลายประเทศ









___________________________________________



ประเด็นขอสงสัยตางๆ เรื่องการประมูลคลื่นความถี่ย่าน2.1 GHz (3G)

 

คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.)สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2555 แต่ยังมีหลายฝ่ายที่เคลือบแคลงสงสัยในบางประเด็น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) จึงขอชี้แจงในบางประเด็นข้อสงสัย ในรูปแบบปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้


 
1. การจัดสรรคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz เหตุใดจึงต้องใช้ วิธีการประมูลคลื่นความถี่
ตามกฎหมายในมาตรา 45 แห่ง พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 กำหนดไว้ชัดเจนว่าให้ กสทช. มีหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ให้แก่ ผู้ประกอบการ ซึ่งต้องดำเนินการโดยวิธีประมูลคลื่นความถี่ ดังนั้น กสทช. จึงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย

2. ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ที่ดำเนินการไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2555

การประมูลคลื่นความถี่2.1 GHz ครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือ การเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานไปสู่ระบบใบอนุญาต ทั้งนี้ กฎหมายได้กำหนดให้ กสทช. คิดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตโดยคำนึงถึง รายจ่ายในการกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพในอัตรารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 2% ของรายได้และให้ กสทช. มีหน้าที่กำกับดูแลเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับบริการอย่างมีคุณภาพในราคาที่เหมาะสมโดยใช้หลักกลไกตลาดที่มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ดังนั้น ในการออกใบอนุญาต จะมีการกำหนดเงื่อนไขการอนุญาตต่างๆ ได้แก่ การสร้างโครงข่ายให้มีพื้นที่ครอบคลุมบริการตามระยะเวลาที่กำหนด มาตรฐานคุณภาพบริการ และอัตราค่าบริการที่เป็นธรรมสมเหตุ สมผลซึ่งต้องถูกลงกว่าเดิม รวมทั้งต้องดำเนินมาตรการเพื่อสังคมและคุ้มครอง ผู้บริโภค ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าประชาชนจะได้ใช้บริการที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น และราคาถูกลงกว่าเดิมแน่นอน

3. หากมีการล้มประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้ เพื่อจัดประมูลใหม่จะเกิดผลกระทบต่อประเทศชาติอย่างไร

การเตรียมการประมูลคลื่นความถี่2.1 GHzนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2553 และถูกระงับการประมูลไป ทำให้คลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz จำนวน 45 MHz ถูกทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร ครั้งนี้เป็นการจัดประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz เป็นครั้งที่สอง ซึ่ง กสทช. ได้ดำเนินการทุกขั้นตอนตามกฎหมายและระเบียบ กสทช. ทุกประการ หากถูกยกเลิกไปอีกก็จะเป็นประเด็นที่มีคำถามว่าแล้วความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติจะเป็นเท่าใด เพราะขนาดสองปีที่ผ่านมา มีการล้มประมูลคลื่นความถี่ ยังเกิดความเสียหายถึงกว่า 150,000 ล้านบาท นอกจากนี้ จะเกิดคำถามว่า กสทช. จะจัดการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHzใหม่ได้อีกเมื่อใด เนื่องจากกระบวนการจัดการประมูลมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดซึ่งใช้เวลา ทั้งนี้ มีข้อวิเคราะห์ จากนักวิชาการที่ประเมินว่าหากการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ล่าช้าออกไป จะมีผลเสียหายต่อประเทศคิดเป็นมูลค่าถึง 210.8 ล้านบาทต่อวัน นอกจากนี้ เมื่อสัมปทานเริ่มหมดอายุลง โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 คลื่นความถี่ที่ผู้ประกอบการ 3 รายใหญ่ใช้ให้บริการอยู่ในปัจจุบันจะเริ่ม ลดลง (เนื่องจากต้องคืนคลื่นความถี่ให้ กสทช. นำมาจัดสรรโดยวิธีประมูล) ซึ่งจะซ้ำเติมภาวะในปัจจุบันที่คลื่นความถี่ไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบกับคุณภาพบริการมากยิ่งขั้น ยังไม่นับรวมถึงการเสียโอกาสในการพัฒนาบริการใหม่ๆ บนเทคโนโลยี 3G และที่สำคัญคือความล้าหลังด้าน ICT ของประเทศไทยที่จะส่งผลกระทบกับภาคเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล

4. หาก 3G ไม่มี จะกระทบต่อการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ของไทย หรือไม่

ไทยกำลังจะเข้าสู่ AEC ใน 2 ปีข้างหน้า หากการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHzล้มลงไป ระบบโทรคมนาคมของไทยซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจที่สำคัญก็ยังย่ำอยู่กับที่ ยังเป็นระบบ 2Gภายใต้สัมปทานที่ไม่มี ประสิทธิภาพอยู่เหมือนเดิม ภาคธุรกิจของไทยเราก็จะแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ไม่ได้ ซึ่งตามข้อมูลของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ศักยภาพโทรคมนาคมของประเทศไทยถูกจัดอันดับอยู่ที่ 89 ในปี พ.ศ. 2553 และภายหลังจากมีการล้มประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHzประเทศไทยตกลงไป อยู่ในลำดับที่ 92 ในปี 2554 ขณะที่ประเทศเวียดนาม ในปี 2553 อยู่ในลำดับที่ 86 และเลื่อนขึ้นเป็นลำดับที่ 81 ในปี 2554 นอกจากนี้ ลำดับของไทยยังต่ำกว่าประเทศมองโกเลีย ซึ่งในปี 2553 อยู่ในลำดับที่ 87 และเลื่อนขึ้นมาเป็นลำดับที่ 84 ในปี 2554ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 58 ในปี 2554 ประเทศไทยก็ยังด้อยกว่ามาก ดังนั้น ในปี 2555 หากผลการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ถูกเพิกถอน ก็จะทำให้ศักยภาพโทรคมนาคมของประเทศไทยลดต่ำลงไปอีก จนไม่สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้

5. หากเงินที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่2.1 GHzสูง จะกระทบต่อค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G หรือไม่

กระทบแน่ เพราะเงินที่ได้รับจากการประมูลคลื่นความถี่ 2.1 GHz ที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายให้ กสทช. เพื่อนำส่งเข้ารัฐ ก็ถือเป็นต้นทุน ส่วนหนึ่ง นอกเหนือจากเงินลงทุนที่ต้องใช้ในการสร้างโครงข่ายให้ครอบคลุมพื้นที่บริการตามเงื่อนไขและระยะเวลา ที่ กสทช. กำหนด (Network Roll Out Obligation) รวมทั้ง ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและค่าธรรมเนียม USO ที่จ่ายเป็นรายปีซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดเหล่านี้ ผู้ประกอบการล้วนต้องนำไปคิดเป็นต้นทุนในการคิดคำนวณอัตราค่าบริการทั้งสิ้น ซึ่งหากต้นทุนมีราคาสูงก็จะส่งผลกระทบต่ออัตราค่าบริการที่ผู้บริโภคจะได้รับในที่สุด กรณีที่มีการกล่าวว่าเงิน ที่ต้องจ่ายเป็นค่าการประมูลคลื่นความถี่เป็นต้นทุนจม (Sunk Cost) และไม่มีผล กระทบต่อราคาที่ผู้บริโภคจะได้รับนั้น ในข้อเท็จจริงยังเป็นเพียงทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการประมูลคลื่นความถี่ ในต่างประเทศ ยังได้ให้ความเห็นว่าเงินค่าประมูลคลื่นความถี่ที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายนั้นจะส่งผลต่อราคาค่าบริการที่ผู้บริโภคได้รับอย่างแน่นอน และมีตัวอย่างให้เห็นจริงในหลายประเทศแล้ว

6. ผลการประมูลคลื่นความถี่2.1 GHzในสายตาของต่างชาติเป็นอย่างไร ในรายงานของ Mr. Sam Dinkinจากบริษัทพาวเวอร์อ็อกชั่น รับรองว่า การประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHzครั้งนี้ ประสบผลสำเร็จ สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เปิดให้มีการแข่งขันในสภาวะตลาดโทรคมนาคมในปัจจุบัน นอกจากนั้น จากข้อวิเคราะห์ในข่าวจาก Financial Times ระบุว่า กระบวนการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHzของไทยได้ดำเนินการอย่างโปร่งใส และจากนักวิเคราะห์ของ Credit Suisse ชี้ว่าการประมูลครั้งนี้ "เป็นการเริ่มต้น ให้ผู้ประกอบการทุกรายได้เข้ามาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลเพื่อให้เกิดการแข่งขัน ที่เท่าเทียมกัน ซึ่งภายใต้ระบบดังกล่าวจะช่วยลดความซับซ้อนจากโครงสร้างเดิมที่อยู่ภายใต้ระบบสัมปทานในการให้บริการ 2G ลงเป็นอย่างมาก" ซึ่งผู้บริโภคก็จะได้ประโยชน์จากระบบใบอนุญาตดังกล่าวที่มีค่าธรรมเนียมการอนุญาตที่ลดลงจากระบบสัมปทานเดิม เมื่อมีการออกใบอนุญาตดังกล่าวแล้ว คาดว่าจะทำให้เกิดการลงทุนขนาดใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทย เนื่องจาก ผู้ให้บริการจะมีการลงทุนในการสร้างโครงข่ายใหม่ มีการสร้างเนื้อหาเพิ่มขึ้น รวมทั้งผู้บริโภคก็จะมีการเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์มากขึ้นด้วย

นอกจากนั้น จากบทวิเคราะห์ของ VALUE PARTNERS ยังได้ระบุว่า ผู้ที่ไม่เห็นด้วยและยื่นคัดค้านทางกฎหมาย ได้โต้แย้งว่าประเทศไทยควรมีรายได้จากการประมูลประมาณ 60,000 ล้านบาท สำหรับคลื่นความถี่นี้ ดังนั้น ประเด็นที่สำคัญตอนนี้ไม่ใช่ราคาประมูลที่ได้อยู่สูงกว่าราคาเริ่มต้นมากน้อย เพียงใด ตามที่รายงานหลายฉบับได้เน้นผิดประเด็น เนื่องจากการวัดดังกล่าวไม่ได้เป็นการวัดเชิงเปรียบเทียบ หรือเป็นการบ่งชี้ว่าเป็นราคาที่เป็นธรรม ซึ่งหากคิดเช่นนั้น จะทำให้ผู้บริโภคในประเทศอย่างไทยต้องจ่ายอัตราค่าบริการที่สูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และเบลเยี่ยม

7. เหตุใดจึงไม่กำหนดสูตร N-1 ในการประมูลครั้งนี้ คณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมฯ 3G และ กทค. ได้วิเคราะห์ถึงจุดเด่นและจุดด้อยของสูตร N-1 แล้วเห็นตรงกันเป็นเอกฉันท์ว่ามีจุดด้อยมากกว่า เนื่องจากทำให้มีคลื่นเหลือภายหลังการประมูล ซึ่งมีกรณีศึกษาประเทศที่เคยใช้สูตร N-1 คือประเทศอิตาลี พบว่าประสบความล้มเหลว โดยหากต้องการให้มีการแข่งขันก็สามารถใช้ทางเลือกอื่น เช่น แบ่งย่านความถี่เป็นสล็อตเล็กๆ และกำหนดจำนวนคลื่นสูงสุดที่ให้ถือครองได้ ทั้งนี้ แม้แต่นักวิชาการที่เคยเห็นด้วยกับสูตร N-1 ก็หันมาสนับสนุนทางเลือกใหม่นี้

8. ราคาตั้งต้นการประมูลคืออะไร ต่างจากมูลค่าคลื่นความถี่อย่างไรมูลค่าคลื่นความถี่เป็นการประเมินมูลค่าในทางเศรษฐศาสตร์ที่มี ความจำเป็นเพื่อที่จะนำไปสู่การกำหนดราคาตั้งต้นที่เหมาะสมในการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยราคาตั้งต้นการประมูลจะถูกกำหนดเป็นสัดส่วนร้อยละของมูลค่าคลื่นความถี่ (โดยปกติในหลายประเทศ ราคาตั้งต้นการประมูลจะคิดเป็นร้อยละ 50 ของมูลค่าคลื่นความถี่) ทั้งนี้ เมื่อได้ทราบมูลค่าคลื่นความถี่แล้ว กทค. ก็จะสามารถกำหนดราคาตั้งต้นการประมูลได้ส่วนเงินที่ได้จากการประมูล (เมื่อการประมูลจริงสิ้นสุดลง)จะสูงหรือต่ำนั้นขึ้นอยู่กับสภาพการแข่งขันและความต้องการใช้คลื่นความถี่ในตลาด ในขณะนั้น ซึ่งหากตลาดมีการแข่งขันมากและความต้องการใช้คลื่นความถี่ มีสูง เงินที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่ก็จะสูงตามไปด้วยแต่ในทางกลับกัน หากตลาดมีการแข่งขันน้อยและความต้องการใช้คลื่นความถี่ไม่สูงมาก เงินที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่ก็อาจจะเท่ากับราคาตั้งต้นหรือสูงกว่าไม่มาก

9. เหตุใดจึงกำหนดราคาตั้งต้นการประมูลเพียง 4,500 ล้านบาทต่อ 5 MHz ทั้งๆ ที่คณะที่ปรึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กำหนดมูลค่าคลื่นความถี่ย่านนี้ถึง 6,440 ล้านบาทต่อ 5 MHz

ข้อมูลในเรื่องนี้มีผู้นำไปสื่อในลักษณะที่คลาดเคลื่อน เพราะจากการศึกษาของคณะผู้วิจัยที่ปรึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลค่าคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ที่มีการประเมินออกมาสำหรับประเทศไทยควร จะเท่ากับ 6,440 ล้านบาทต่อ 5 MHz ส่วนราคาเริ่มต้นหรือราคาตั้งต้นสำหรับการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ที่ทางคณะผู้วิจัยฯ ศึกษามานั้น ระบุว่าไม่ควรต่ำกว่าร้อยละ 67 ของมูลค่าคลื่นความถี่ (6,440 ล้านบาท) หรือเท่ากับ 4,314.80 ล้านบาท โดยที่คณะที่ปรึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ไม่เคยระบุให้ใช้มูลค่าคลื่น 6,440 ล้านบาท เป็นราคาตั้งต้นการประมูลเลย ต่อมา กสทช. ได้นำผลการศึกษาดังกล่าวมาเป็นฐานในการกำหนดราคาตั้งต้นการประมูล โดยมีการกำหนดราคาตั้งต้นที่ 4,500 ล้านบาทต่อ 5 MHz เพราะเป็นระดับราคาที่เกิดความสมดุลคือ ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของ รัฐ ประชาชน และผู้ประกอบการ ประกอบกัน หากกำหนดราคาตั้งต้นการประมูลที่สูงเกินไปจะทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้และจะกลายเป็นว่า กสทช. กำหนดราคาตั้งต้นการประมูลสูงเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายใหญ่ อันเป็นการขัดต่ออำนาจหน้าที่ของ กสทช. ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายนอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับราคาตั้งต้นการประมูลที่ กทช. เคยกำหนดไว้เมื่อปี 2553 ที่ 4,300 ล้านบาทต่อ 5 MHz รวมทั้งเปรียบเทียบกับราคาตั้งต้นการประมูลในประเทศต่างๆ ซึ่งจัดประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ที่ผ่านมาพบว่ามีราคาต่ำกว่าราคาตั้งต้นที่ กสทช. กำหนดในครั้งนี้มาก ราคาตั้งต้นการประมูลดังกล่าวจึงถือว่ามีความเหมาะสมแล้ว

10. ผลการประมูลคลื่นความถี่จบลงที่เงินที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่สูงกว่าราคาตั้งต้นเพียงเล็กน้อยเป็นความล้มเหลวของการจัดประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้หรือไม่ ทำให้ประเทศชาติสูญเสียรายได้ถึงกว่า 17,000 ล้านบาท จริงหรือไม่

ที่ว่ากันว่าคลื่นความถี่ 2.1 GHz ควรมีมูลค่าที่เหมาะสมที่ 6,440 ล้านบาท นั้น ถ้าเป็นเมื่อ 8-10 ปีก่อนอาจใช่ แต่ขณะนี้มันไม่ใช่แล้ว คลื่นความถี่ 2.1 GHz จะสามารถนำไปแสวงหาประโยชน์ได้แค่ 3-4 ปีจากนี้ย่อมไม่คุ้มที่จะทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเป็นพันล้านไปช่วงชิงมายิ่งโอกาสในการแสวงหากำไรจากการประกอบการไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเดิมนั้นเก็บค่าบริการเสียงได้ถึงนาทีละ 9 บาท แต่วันนี้คิดค่าบริการได้เพียง 0.99 บาทเท่านั้น ดังนั้น ราคาคลื่นความถี่ 2.1 GHz เพื่อเทคโนโลยี 3G ณวันนี้ราคาลดเหลือแค่ 30%เท่านั้น เราไม่ควรมองแต่เรื่องของรายได้จากการประมูลคลื่นความถี่ แต่ควรมองในเรื่องการขยายโครงข่ายเป็นหลักไม่จำเป็นต้องเรียกเก็บสูงเพื่อให้เอกชนมีเงินไปลงทุนขยายโครงข่ายให้มากที่สุดได้เป็นแสนล้านยิ่งดี ทั้งนี้ ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศด้านการประมูลคลื่นความถี่ว่าการที่การประมูลคลื่นความถี่ จบลงที่ราคาประมูลคลื่นความถี่สูงกว่าราคาตั้งต้นไม่มากนั้นไม่ถือเป็นเรื่อง ผิดปกติแต่อย่างใด และกรณีดังกล่าวก็เกิดขึ้นในหลายประเทศ

จากประเด็นปุจฉา - วิสัชนา ข้างต้นอาจทำให้หลายท่านคลายความสงสัยลงได้บ้าง การประมูลคลื่นความถี่จะทำให้โทรคมนาคมของประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากยุคผูกขาดด้วยระบบสัมปทานไปสู่ระบบการให้ใบอนุญาตและรายได้จากการประมูลคลื่นความถี่ 2.1GHz ในครั้งนี้ จะถูกนำส่งเข้ารัฐ เพื่อให้จัดเก็บเป็นเงินงบประมาณแผ่นดินสำหรับนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้การมีระบบโทรคมนาคมอันเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางเศรษฐกิจ จะช่วยให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ได้ กสทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดสรรคลื่นความถี่ครั้งนี้จะนำไปสู่การให้บริการที่รองรับความต้องการของประชาชนเพิ่มขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้ใช้บริการโทรคมนาคม ที่มีประสิทธิภาพ ในราคาที่เป็นธรรม ซึ่งถือเป็นกลไกที่สำคัญในการผลักดันระบบเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนสามารถสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อีกทั้งเป็นการเชื่อมโยงโอกาสให้กับทุกภาคส่วนในสังคมไทยอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง

แนวหน้า
http://www.ryt9.com/s/bmnd/1542573

จากคุณ : So magawn
เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 55 21:15:18




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com