ชี้ 12 กลุ่มอุตฯไทยได้เปรียบเออีซี
|
|
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2012 เวลา 16:00 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ ลงทุน-อุตสาหกรรม - คอลัมน์ : ลงทุน-อุตสาหกรรม
สศอ.ชี้ 12 กลุ่มอุตสาหกรรมไทย มีความได้เปรียบ พร้อมเปิดรับเออีซี แนะอุตฯยานยนต์ รักษาการเป็นฐานผลิต และส่งเสริมผู้ประกอบการไปลงทุนสร้างฐานผลิตประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม ได้อานิสงส์จากการส่งออกวัตถุดิบและสิทธิประโยชน์ด้านภาษี ส่งออกไปอเมริกาและสหภาพยุโรป
นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้สศอ.ได้ศึกษาผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 และนำเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)แล้ว โดยแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อรับมือเออีซี พบว่า 12 อุตสาหกรรม ที่มีจุดแข็งในการแข่งขันได้ คืออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย จะเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับ 1 ของอาเซียน มีศักยภาพในการผลิตยานยนต์ที่มีความเฉพาะใน 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ รถปิกอัพ 1 ตัน รถยนต์ประหยัดพลังงานหรืออีโคคาร์ และรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กคุณภาพสูง อีกทั้งมีความพร้อมทางด้านบุคลากร ระบบโลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมต้นน้ำและปลายน้ำ เป็นต้น
ขณะที่อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ ประเทศไทยมีการผลิตเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม ดังนั้น หากเปิดเออีซีแล้ว ประเทศไทยควรรักษาฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กคุณภาพสูง และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะการสร้างฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนสร้างฐานการผลิตยานยนต์และชิ้น ส่วนยานยนต์ให้ประเทศเวียดนาม สปป.ลาว กัมพูชา และเมียนมาร์ รวมทั้งส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีศักยภาพไปยังประเทศเหล่านี้ด้วย
สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของไทย มีศักยภาพเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ของอาเซียน แต่หลังจากเปิดเออีซีแล้ว เครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างจะได้รับผลกระทบจากการย้ายฐานการผลิตไฟฟ้าไปยัง ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กรณีของ แอลซีดี ของบริษัท โซนี่ฯ ที่ย้ายฐานการผลิตไปมาเลเซียแล้วเป็นต้น ดังนั้น หากจะให้แข่งขันได้ผู้ประกอบการต้องเน้นการออกแบบ ทั้งในเรื่องรูปลักษณ์และการทำงานของระบบเป็นต้น
นายณัฐพล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ต้องยอมรับว่าไทยมีจุดแข็งเรื่องแรงงานที่มีฝีมือ และหลังเปิดเออีซีแล้ว คาดว่ามาตรการภาษีก็ยังจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไม่มาก ซึ่งแนวทางอยู่รอดของอุตสาหกรรมประเภทนี้ ต้องมุ่งส่งเสริมการลงทุนในผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มี Value Added สูง
ส่วนอุตสาหกรรมเหล็กนั้น เมื่อพิจารณาโอกาสของตลาดเหล็กในภูมิภาคอาเซียน พบว่าไทยยังมีโอกาสขยายตัวได้อีก เนื่องจากอัตราการบริโภคเหล็กต่อปียังน้อยอยู่ เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่อุตสาหกรรมยังมีจุดอ่อนในแง่ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ เนื่องจากไทยยังไม่มีเหล็กต้นน้ำ ซึ่งทำให้ระยะยาวภายหลังเปิดเออีซีแล้ว ความน่าสนใจในการลงทุนอุตสาหกรรมนี้ อาจด้อยกวาประเทศเพื่อนบ้านที่มีการลงทุนเหล็กต้นน้ำ
นอกจากนี้ ยังพบว่า เมื่อเปิดเออีซีแล้วจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอของไทย เนื่องจากประเทศอาเซียนอย่างเวียดนาม กัมพูชา มีแนวโน้มผลิตเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มในประเทศจะเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศอีกมาก เป็นการเพิ่มโอกาสของไทยในการทำตลาดอาเซียนได้มากยิ่งขึ้น ขณะที่อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย จะได้อานิสงส์จากการใช้ประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าแรงต่ำกว่า เป็นฐานการผลิตสินค้าปลายน้ำ และทำให้ไทยมีโอกาสได้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี(จีเอสพี) ของเพื่อนบ้านในการส่งสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
" จากการที่ไทยมีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกมากที่สุดในภูมิภาค จะช่วยให้สามารถส่งออกเม็ดพลาสติกเข้าไปจำหน่ายในอาเซียนมากขึ้น รวมไปถึงตลาดในประเทศที่อุตสาหกรรมต้นน้ำยังผลิตไม่ได้เพียงพอกับความต้อง การ เช่น อินโดนีเซีย แต่จุดอ่อนของอุตสาหกรรมนี้ ภาครัฐของไทยยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ที่ตั้งอุตสาห กรรมปิโตรเคมี ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถขยายกำลังการผลิตได้"
ขณะที่อุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและเครื่องประทินผิว และอุตสาหกรรมอาหาร ยังถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเข้มแข็ง ในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นฝีมือแรงงานและเทคโนโลยี เป็นต้น ที่จะยังสามารถแข่งขันในเออีซีได้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,803 วันที่ 23-26 ธันวาคม พ.ศ. 2555
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
25 ธ.ค. 55 13:07:25
|
|
|
|